อาชญากรรม

ศาลสั่งปรับ บ.ฟิลลิป มอร์ริส ผู้นำเข้าบุหรี่นอกกว่า 1,225 ล้านบาท- ยกฟ้อง 7 จำเลยคนไทย ทั้งหมด

 

ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก นัดฟังคำพิพากษาคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง บริษัท ฟิลลิป มอร์ริส (ไทยแลนด์) ลิมิเต็ด จำกัด ผู้นำเข้าบุหรี่นอกยี่ห้อมาโบโร่และแอลเอ็ม และจำเลยที่เป็นพนักงานบริษัท เป็นจำเลยที่ 1 ถึง 8 ร่วมกันกระทำผิดตาม พ.ร.บ.ภาษีศุลกากร พ.ศ.2469 จากกรณีเมื่อระหว่างวันที่ 28 กรกฎาคม 2546 ถึงวันที่ 24 มิถุนายน 2549 พบว่าจำเลยทั้ง 8 คน ยื่นใบขนส่งสินค้าขาเข้า 272 ใบ ต่อเจ้าหน้าที่ศุลกากร เพื่อผ่านพิธีการศุลกากรโดยสำแดงราคาบุหรี่ ต่ำกว่าราคาที่แท้จริง ซึ่งกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ได้ลงพื้นที่สืบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน ประเมินราคาบุหรี่และค่าอากรแสตมป์ ทั้งสิ้นเป็นเงินกว่า 2 หมื่นล้านบาท


ศาลพิเคราะห์จากพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบ ได้ความว่า ในช่วงที่เกิดเหตุจำเลยมีการสำแดงต้นทุนราคาบุหรี่นอกยี่ห้อมาโบโร่ จากซองละ 9.5 บาท และสุดท้ายอยู่ที่ซองละ 7.76 บาท ส่วนบุหรี่ยี่ห้อแอลเอ็ม จากซองละ 7 บาท สุดท้ายอยู่ที่ซองละ 5.88 บาท แต่เมื่อดีเอสไอลงพื้นที่ไปตรวจเปรียบเทียบราคาต้นทุนที่ผลิตในประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นทั้งต้นทางผลิตส่งนำเข้ามาในไทยและส่งขายไปยังประเทศใกล้เคียง กลับพบว่ามีราคาต้นทุนเฉลี่ยอยู่ที่ซองละ 13-19 บาท และเขตปลอดภาษีในไทยก็ตั้งราคาขายอยู่ที่ซองละกว่า 20 บาท และแม้ว่าข้อเท็จจริงจะฟังได้ว่า มีการนำเข้าในใบขนบางส่วนถูกต้องตามกฎหมาย แต่ก็เป็นเพียงความเห็นในทางคดี ไม่สามารถนำมาใช้รับฟังได้ เมื่อนำพยานหลักฐานมาวิเคราะห์แล้ว จึงพบว่า ราคาต้นทุนของบุหรี่ที่โจทก์นำฟ้องในใบขน 272 ใบ รวมเป็นเงินกว่า 12,270 ล้านบาท ซึ่งพิเคราะห์ว่าตัวเลขดังกล่าวมีการนำราคาสินค้าในเขตปลอดชำระภาษี หรือ ดิวตีฟรี มาคำนวน ซึ่งมองว่าไม่เป็นธรรม จึงกำหนดราคาต้นทุนที่ต้องนำไปคำนวนภาษีเงินขาดเหลือเพียง 6,135 ล้านบาท และคำนวนภาษีเงินขาดได้ 306.4 ล้านบาท เมื่อนำไปเปรียบเทียบปรับตามกฎหมาย พ.ร.บ.ศุลกากรฉบับใหม่ จึงต้องชำระค่าปรับเป็นเงิน 1,225.9 ล้านบาท


ส่วนจำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 ซึ่งเป็นพนักงานบริษัทที่ลงลายมือชื่อในใบขนทั้ง 272 ใบ ศาลสั่งยกฟ้อง เพราะเห็นว่าทำไปตามหน้าที่ และไม่รู้เห็นกับการจัดทำใบขน ที่ทำขึ้นในสหรัฐอเมริกา

อย่างไรก็ตามหลังมีคำพิพากษา นายเจอรัลด์ มาโกลีส ชาวอเมริกัน (ผู้จัดการสาขาบริษัทฟิลลิป มอร์ริส (ไทยแลนด์) ลิมิเต็ด จำกัด เปิดเผยภายหลังฟังคำพิพากษาว่า ส่วนตัวยินดีกับพนักงานทั้ง 7 คน ที่ศาลพิพากษายกฟ้อง ส่วนคำตัดสินในของบริษัทฯ เบื้องต้น ทางบริษัทฯให้ความเคารพกับคำตัดสิน แต่ทั้งนี้ก็จะดำเนินการยื่นอุทธรณ์ต่อไป เนื่องจากไม่เห็นด้วยกับคำตัดสินนี้ เพราะมองว่าขัดแย้งกับคำตัดสินที่ศาลไทยกับองค์การการค้าโลก(WTO) เคยมีคำตัดสินไปก่อนหน้านี้ อีกทั้งยืนยันว่าบริษัทฯได้ปฏิบัติตามข้อกฎหมายของไทยในเรื่องของการแสดงราคาสินค้าและการยื่นสำแดงนำเข้ามาโดยตลอด

Related Posts

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *