นายวงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์ อัยการสูงสุด เปิดเผยถึง กรณีองค์กรอัยการถูกกระแสวิพากษ์วิจารณ์จากประชาชนในการปฏิบัติหน้าที่หลายกรณี อาทิ คดีนายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือบอส ว่า ในกระแสที่ประชาชนแสดงความคิดเห็นต่าง ๆ สำนักงานอัยการสูงสุดได้แถลงให้ทราบในหลายเรื่อง ใช้ข้อเท็จจริงที่อยู่ในสำนวนการสอบสวน ใช้กฎหมาย กฎระเบียบ ในช่วงที่ผ่านมา สำนักงานอัยการสูงสุดแก้ไขปัญหาได้ดีระดับหนึ่ง และจะเป็นบทเรียนของสำนักงานอัยการสูงสุดอาจจะต้องปรับปรุงกฎระเบียบที่รองรับ เอื้อต่อการอำนวยความยุติธรรมมากขึ้น โดยเห็นได้ว่าสุดท้ายเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏ เป็นการใช้ดุลยพินิจสั่งสำนวนของอัยการท่านหนึ่งเท่านั้น เป็นเรื่องปกติของสำนักงานอัยการสูงสุดและกระบวนการยุติธรรมไทยทั่วไป
นายวงศ์สกุล กล่าวอีกว่า การร้องขอความเป็นธรรม มีมาหลายสิบปี ตั้งแต่มีระเบียบอัยการในปี 2528 ในสมัยนั้นต้องให้รองอธิบดีเป็นผู้ใช้อำนาจนี้ จนกระทั่งปี 2537 ได้เปลี่ยนระเบียบการร้องขอความเป็นธรรมให้เสนออัยการสูงสุดเป็นผู้สั่ง จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ จึงยกเลิกการใช้ระเบียบดังกล่าว ต่อมามีการปรับเปลี่ยนระเบียบร้องขอความเป็นธรรมกลับมาใหม่ โดยให้รองอัยการสูงสุดที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้พิจารณา และส่งความเห็นให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) หรือผู้ว่าราชการจังหวัด หากเห็นแย้ง อัยการสูงสุดจึงจะใช้อำนาจหน้าที่ไปชี้ขาดความเห็นอีกครั้ง
อัยการสูงสุด กล่าวเพิ่มเติมว่า การร้องขอความเป็นธรรมมีขั้นตอนอยู่ บางคดีเหตุเกิดนานนับสิบปีพยานหลักฐานเพิ่งปรากฏ บริบทแต่ละเรื่องมีความแตกต่างกันไป ร้องได้ตลอดเวลา อยู่ในเงื่อนไขพยานหลักฐานฟังได้หรือไม่ พร้อมกับยืนยันว่า พนักงานอัยการทุกคนมีอิสระในการพิจารณาสำนวนคดีของตนเอง ไม่มีใครสามารถสั่งได้ คล้ายกับผู้พิพากษาของศาลยุติธรรม