นานประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักงาน อัยการสูงสุด เปิดเผยข้อมูลสถิติผู้ฝ่าฝืน พ.ร.ก. ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ทั่วประเทศ ว่า จำนวนคดี และ จำนวนผู้ต้องหาหรือจำเลยที่กระทำความผิดและถูกดำเนินคดีสำหรับภาพรวมทั้งประเทศมีการฝ่าฝืนทั้งสิ้น จำนวน 438 คดี จำนวนจำเลยที่ถูกดำเนินคดี 623 ราย โดย ทุกคดีพนักงานอัยการได้มีคำขอให้ศาลลงโทษสถานหนัก ซึ่งศาลได้ใช้ดุลยพินิจ ลงโทษจำเลยตามคำขอของพนักงานอัยการ เช่น คดีที่พนักงานอัยการฟ้องต่อศาลแขวงพระนครศรีอยุธยา ลงโทษผู้จำคุก 2 – 4 เดือน โดยไม่รอการลงโทษ (ข้อหามั่วสุม) และศาลแขวงจังหวัดอุบลราชธานี จำคุก 15 วัน เปลี่ยนโทษเป็นกักขังแทน 15 วัน เป็นต้น
นอกจากนี้ ประเภทคดีที่มีการฝ่าฝืนมากที่สุด ได้แก่ การออกนอกเคหะสถาน โดยช่วงอายุที่กระทำความผิดมากที่สุด เป็นช่วงอายุระหว่าง 20-35 ปี รองลงมาคือช่วงอายุระหว่าง 35-55 ปี ซึ่งเป็นช่วงอายุที่กระทรวงสาธารณสุขให้ระมัดระวังในการแพร่เชื้อ
ทั้งนี้ จังหวัดที่มีสถิติผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) สูง เช่น กรุงเทพมหานคร จังหวัดนนทบุรี จังหวัดชลบุรี และจังหวัดเชียงใหม่ ยังเป็นจังหวัดที่มีจำนวนสถิติคดีและจำนวนผู้ฝ่าฝืน พ.ร.ก. มีจำนวนสูงด้วยเช่นกัน ซึ่งอัยการสูงสุดยังได้กำชับใช้พนักงานอัยการทั่วประเทศได้บังคับใช้กฎหมายอย่างรวดเร็วและเฉียบขาดต่อไป
สำหรับขั้นตอนการดำเนินคดี เนื่องจาก เป็นกรณี บังคับใช้ กฎหมาย ตาม อำนาจ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน พนักงานสอบสวน ต้องสรุป สำนวน ส่งต่อ พนักงานงานอัยการ ภายใน 48 ชม จากนั้นคดีจะขึ้นสู่ ศาลแขวง เนื่องจากเป็นคดีที่มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน3 ปี และ ปรับไม่เกิน 3 แสนบาท
พร้อมกันนี้ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ยังเตือนประชาชนให้เคารพกฎหมาย เพราะเจ้าพนักงานจะบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดเด็ดขาดในทุกข้อหาความผิด และจะขอใฟ้ศาลลงโทษสถานหนักในทุกข้อหาเช่นกัน