กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) นำโดย นายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสบส. พร้อมคณะ ลงพื้นที่ตรวจสอบคลินิกเสริมความงามแห่งหนึ่ง ในซ.รามคำแหง 24 เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ หลังหญิงวัย 54 ปี เสียชีวิตขณะรับบริการดูดไขมัน เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดยในวันนี้ทางสบส. ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบใบจดแจ้งสถานประกอบคลินิกเวชกรรม และผู้เป็นเจ้าของ รวมถึงผู้ที่ดำเนินการดูดไขมันผู้เสียชีวิต ว่ามีประกอบวิชาชีพแพทย์ถูกต้องหรือไม่
นายแพทย์ธเรศ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่ตรวจสอบคลินิกแห่งนี้ ระบุว่า หลังได้รับทราบว่ามีผู้เสียชีวิตจากการรับบริการดูดไขมัน วันนี้ จึงลงพื้นที่เข้าตรวจสอบ เบื้องต้น พบคลินิกแห่งนี้เปิดให้บริการประเภท ไม่รับผู้ป่วยค้างขึ้น อาคารของคลินิกมีทั้งหมด 3 ชั้น ชั้น 3 เป็นห้องผ่าตัดขนาดเล็ก ชั้นสองเป็นชั้นที่ให้บริการเรื่องความงาม และเก็บอุปกรณ์ยา ซึ่งพบว่าถูกมาตรฐานตามที่ขออนุญาต และมีการขออนุญาตจัดทำ ห้องผ่าตัดขนาดเล็กด้วย ภายในห้องผ่าตัดที่เกิดเหตุ ตรวจสอบพบว่าทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำเอาอุปกรณ์วัดสัญญานชีพ และเครื่องฟื้นคืนชีพไปเป็นพยานหลักฐานทางคดี แต่สิ่งที่ผิดกฎหมาย คือ ทางคลินิกขอใบอนุญาต ดำเนินให้การรักษาช่วงเวลา 17.00-20.00 น. ซึ่งไม่ตรงกับเวลาที่ให้บริการผู้เสียชีวิต ที่ทางคลินิกให้บริการ เวลา 12.00-14.00 น. ทาง สบส.จึงจะดำเนินการไปแจ้งความ ข้อหา ดำเนินการประกอบกิจการสถานพยาบาลไม่ได้รับอนุญาต ตาม พ.ร.บ.สถานพยาบาล พ.ศ.2541 มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำ ทั้งปรับ ในส่วนกรณีของผู้ป่วยเสียชีวิต ทาง สบส.จะทำหนังสือเชิญหมอที่ทำหัตถการกับผู้เสียชีวิตไปให้ข้อมูล กับทางแพทย์สภา เพื่อพิจารณาว่าดำเนินการไปตามมาตรฐานวิชาชีพหรือไม่
ทั้งนี้พบว่าทางหมอที่ทำการหัตถการ ได้พยายามช่วยฟื้นคืนชีพแล้ว แต่ไม่สำเร็จ ส่วนกรณีที่ลูกของผู้เสียชีวิต ตั้งข้อสงสัยว่า เหตุใดทางคลินิกจึงไม่ส่งผู้ตายไป รพ.อย่างเร่งด่วนนั้น ทางคลินิกชี้แจงว่า อยู่ในขั้นตอนระหว่างการส่งต่อ ซึ่งอาการของผู้เสียชีวิตในขณะนั้นไม่เหมาะกับการเคลื่อนย้ายเอง ขณะที่ปัจจัยที่ส่งผลให้หญิงรายนี้เสียชีวิตในระหว่างการดูดไขมันนั้น นายแพทย์ธเรศ ระบุว่า การดูดไขมันเป็นหัตถการรักษาที่มีความเสี่ยงแต่จะเกิดจาสาเหตุใดนั้น ยังไม่วารถชี้ชัดได้ เพราะต้องรอผลการชันสูตรจากแพทย์นิติเวช
อย่างไรก็ตาม เบื้องต้น ทาง กรม สบส.จะยังไม่สั่งปิดสถานประกอบการแห่งนี้ เนื่องจากยังไม่พบเข้าข่ายความผิดในข้อหาที่ร้ายแรง