พลตำรวจตรีปิยะ ต๊ะวิชัย รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เป็นประธานในการเจรจาไกล่เกลี่ยระหว่างสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย หรือ คปภ. , องค์การขนส่งมวชนกรุงเทพ หรือ ขสมก. และกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม กับนายโชคชัย ใบยพฤกษ์ อายุ 36 ปี ชายที่ไปนอนกลางแยกรัชโยธิน ประท้วงขอความเป็นธรรมให้กับภรรยาที่ถูกรถ ขสมก. สาย 39 เฉี่ยวชนและทับเสียชีวิต บริเวณแยกรัชโยธิน เมื่อวันที่ 15 ตุลาคมที่ผ่านมา แต่คดีไม่มีความคืบหน้า อีกทั้งยังไม่ได้รับเงินเยียวยาจึงทำให้ครอบครัวได้รับความเดือดร้อน
โดยเบื้องต้นที่ประชุมมีการชี้แจงว่า คปภ. ได้จ่ายเงินช่วยเหลือค่าทำศพไปแล้ว 35,000 บาท ส่วน ขสมก.ซึ่งเป็นคู่กรณีมีการช่วยเหลือเงินหลายครั้ง ประกอบด้วยค่าทำศพ 5,000 บาท เงินช่วยเหลือทั่วไป 2 ครั้ง รวม 1,500 บาท และเงินจากกองทุน ขสมก.อีก 10,000 บาท ส่วนกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ วันนี้จะรับเรื่องขอรับเยียวยาความเสียหาย เพื่อนำเข้าที่ประชุมคณะกรรมการพิจารณาจ่ายเงินเยียวยาตอบแทน ซึ่งจะเหลือยอดสูงสุดไม่เกิน 55,000 บาท เนื่องจากครอบครัวผู้เสียชีวิตได้รับเงินเยียวยาไปแล้ว 35,000 บาท
ด้าน นายโชคชัย ที่ได้รับมอบเงินช่วยเหลือในวันนี้ ได้กล่าวขอบคุณทุกฝ่ายที่ช่วยเหลือให้ความเป็นธรรม ยืนยันว่าเรื่องที่เกิดขึ้นสามารถชี้แจงความจริงกับสังคม เงินทุกบาทที่มีคนตั้งใจโอนเข้ามาช่วยเหลือ ยังเก็บอยู่ในบัญชี ซึ่งหากสังคมต้องการตรวจสอบตนก็ยินดี
ขณะที่นายเจษฏา ใบยพฤกษ์ ลูกชาย เปิดเผยว่าขณะเกิดเหตุกำลังขี่รถจักรยานยนต์เพื่อไปส่งแม่ทำงานที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง บริเวณห้าแยกลาดพร้าว โดยจอดรถเพื่อรอ สัญญาณไฟจราจรบริเวณปากซอยพหลโยธิน 28 กระทั่งไฟเขียวจึงขี่รถออกไป ทำให้ถูกรถประจำทางสาย 39 ที่มาทางตรงเฉี่ยวชน จนแม่กระเด็นตกจากรถแล้วถูกล้อหลังทับจนเสียชีวิต ส่วนตัวเองได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย
ขณะที่พลตำรวจตรีปิยะ กล่าวถึงความคืบหน้าคดีนี้ว่า เป็นคดีความผิดฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย แต่เนื่องจากคดียังไม่สิ้นสุดจึงยังไม่มีการชี้ชัดว่าใครเป็นฝ่ายถูกหรือผิด โดยยอมรับว่าความยากในคดีนี้คือหลักฐานภาพวงจรปิดในที่เกิดเหตุเห็นไม่ชัดเจนในขณะที่มีการเฉี่ยวชนกัน จึงต้องรอการพิสูจน์หลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ ดูร่องรอยการเฉี่ยวชนประกอบการสอบสวนปากคำพยาน ยังต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง ซึ่งก็ได้กำชับให้ทาง สน.พหลโยธิน ทำคดีนี้อย่างตรงไปตรงมา ให้ความเป็นธรรมกับทั้ง 2 ฝ่าย อย่างไรก็ตามได้ฝากถึงประชาชน ว่าทางที่ดีควรทำประกัน หรือ ต่อ พ.ร.บ. อย่าให้ขาด เช่นในกรณีนี้ หากผู้เสียหายมี พ.ร.บ. อยู่แล้ว ก็จะมีการเยียวยาค่าเสียหายสูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท ทันที โดยไม่ต้องเสียเวลาพิจารณาว่าใครเป็นฝ่ายถูกหรือผิด