พลตำรวจโท อำพล บัวรับพร ผบช.ภ.1 พร้อมด้วย พลตำรวจตรี ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรงค์ รองผบช.ภ.1 พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ แถลงจับกุม นายนพพล หรือเบน อิศรางกูร ณ อยุธยา อายุ 22 ปี ชาว จว.พระนครศรีอยุธยาผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่ 148/2562 ลงวันที่ 17 พฤษภาค 2562 ข้อหา ชิงทรัพย์ในเวลากลางคืนโดยมีอาวุธ โดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำผิดและพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยเปิดเผย
สืบเนื่องเมื่อวันที่ 30 มี.ค. 2562 ได้มีคนรายเป็นชาย สวมเสื้อแขนยาวสีเขียว พร้อมกับใช้เสื้อสีดำอำพรางใบหน้า สวมกางเกงยีนส์ขายาว ลงมือก่อเหตุใช้อาวุธมีดจี้ชิงทรัพย์ภายในร้านเซเว่นอีเลฟเว่น สาชาริมถนนเลียบทางรถไฟอยุธยา จนได้ทรัพย์สินเป็นเงินสด จำนวน 7,400 บาท โทรศัพท์มือถือยี่ห้อซัมซุง รุ่น J7 จำวนวน 1 เครื่อง และเมื่อวันที่ 15 พ.ค. ที่ผ่านมา คนร้ายได้วกกลับมาก่อเหตุอีกครั้งพร้อมกับเพื่อนอีก 1 ราย โดยใช้อาวุธมีด ได้ทรัพย์สินเป็นเงินเหรียญ จำนวน 5,000 บาท สุรายี่ห้อ BLEND 285 จำนวน 2 ขวด และโทรศัพท์มือถือยี่ห้อ ซัมซุง รุ่น A6 ก่อนจะขึ้นรถจักรยานยนต์ สีขาวไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียนหลบหนีไป
จากนั้นตำรวจได้ทำการสืบสวนสอบสวนกระทั่งทราบตัวคนยร้ายคือนายนพพล หรือเบน อิศรางกูร ณ อยุธยา จึงได้รวบรวมพยานหลักฐาน ขออนุมัติหมายจับต่อศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา กระทั่งสามารถทําการจับกุมตัวได้ที่ แฟลตการเคหะแห่งชาติ นครหลวง พร้อมของกลาง รถจักรยานยนต์ยี่ห้อ ยามาฮ่า รุ่นมีโอ สีแดงขาว ติดแผ่นป้ายหมายเลขทะเบียน 1กณ2974 พระนครศรีอยุธยา จำนวน 1 คัน , มีดปาดตาล จำนวน 1 เล่ม , กระเป๋าสะพายสีดำ บรรจุเงินจำนวน 1,000 บาท เป็นเหรียญ 10 จำนวน 100 เหรียญ , นาฬิกาข้อมือสีดำ จำนวน 1 เรือน , ล้อรถจักรยานยนต์ตัดซี่ลวด จำนวน 2 ล้อ , กางเกงขาสั้นลายทหาร จำนวน 1 ตัว , ขาสั้นลายขวางสีรุ้ง,หมวกกันน็อคเต็มใบ ยี่ห้อ index สีดำจำนวน 1 ใบ และขวดเหล้า ยี่ห้อ BLEN 285 ขนาด 345 มล. จำนวน 1 ขวด ซึ่งจากการสอบถามผู้ต้องหารให้การรับสารภาพ โดยครั้งแรกก่อเหตุเพียงคนเดียวส่วนครั้งที่ 2 ได้ก่อเหตุร่วมกับนายโอ นามสมมุติ อายุ 16 ปี ซึ่งสาเหตุในการลงมือก่อเหตุในครั้งมาเนื่องจาก ไม่มีงานทำ ไม่มีเงิน และต้องคอยซ่อนตัวจากหมายจับคดีร่วมกันชิงทรัพย์ เมื่อปี2559
ทั้งนี้ จากการตรวจสอบพบว่านายนพพล หรือเบน มีหมายจับในคดีร่วมกันชิงทรัพย์เมื่อปี 2559 ในเขตพื้นที่ สถานีตํารวจภูธร พระนครศรีอยุธยา จํานวน 2 คดี รวมครั้งนี้เป็น 4 คดี
