เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ที่ กองบังคับการปราบปราม(บก.ป.) นายอนันต์ชัย ไชยเดช ทนายความ พา น.ส.สุธิดา เนาว์รุ่งโรจน์ , นายจักกฤษณ์ วิบูลย์ลักษณากุล และ น.ส.ลักษมน วิบูลย์ลักษณากุล เข้าพบ พ.ต.ท.หญิง บุญทิวา ลิ้มศิริลักษณ์ รองผกก.สอบสวน กก.2.บก.ป. เพื่อดำเนินคดีข้อหา แจ้งข้อความอันเป็นเท็จให้ได้รับโทษทางอาญาโดยมิได้มีกระทำความผิดเกิดขึ้น และกรรโชกทรัพย์ กับ แรงงานชาวเมียนมาร์จำนวน 15 คน ซึ่งมีผู้อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่สถานทูตเมียนมาร์
หลังจากเมื่อวันที่ 27 มกราคม 2564 เจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอและตำรวจ เข้าตรวจค้นและช่วยเหลือแรงงานชาวเมียนมาร์จำนวน 18 คน ที่โรงงานทำขนมเยลลี่ ในซอยลาดพร้าว 6 เขตลาดพร้าว กรุงเทพฯ โดยมี น.ส.ลักษมน เป็นเจ้าของสถานที่
นายอนันต์ชัย เปิดเผยว่า อยากจะขอเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับครอบครัวนี้ โดยเตรียมยื่นเรื่องขอความเป็นธรรมกับสถานเอกอัครราชทูตเมียนมาร์ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เกี่ยวกับการดำเนินคดีของดีเอสไอ โดยยืนยันว่า ครอบครัวนี้ ไม่เคยกระทำการกักขังหน่วงเหนี่ยวแรงงานข้ามชาติ ตามที่มีการกล่าวอ้างถึงในคดีดังกล่าว ส่วนข้อเท็จจริง เหตุนี้เริ่มต้นมาจากเมื่อเดือนกันยายน 2563 ก่อนเกิดเหตุมีคนงานประมาณ 23 คน ทำงานจ้างเหมากับบริษัทแห่งหนึ่งในลักษณะไปเช้า-เย็นกลับ ไม่ได้ค้างอยู่ที่โรงงาน
แต่ในช่วงปี 2563 จังหวัดสมุทรสาคร ประกาศห้ามเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าว และมีการลอยแพแรงงานข้ามชาติจำนวนมาก ทำให้ในวันที่ 19 ธันวาคม 2553 นายจ้างเดิมที่แรงงานกลุ่มนี้ทำงานด้วย ขับไล่แรงงานออกจากที่ทำงาน และคนในครอบครัวนี้ เกิดความสงสารจึงรับแรงงานเมียนมาร์กลุ่มนี้เข้ามาอาศัยในบ้านพักด้วย
นายอนันต์ชัย ยังกล่าวว่า นายหน้าจัดหางาน อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่สถานเอกอัครราชทูตเมียนมาร์ ต้องการเรียกเงินจำนวน 6,000 บาท จากครอบครัวนี้ หากไม่ให้จะแจ้งทางการไทยให้จับกุม ว่า ครอบครัวนี้กักขังหน่วงเหนี่ยวแรงงานผิดกฎหมายในบ้านพัก ต่อมา เจ้าหน้าที่ทางการไทยก็บุกเข้ามาที่บ้านพักตามที่ปรากฏเป็นข่าวไปแล้ว
ขณะที่ น.ส.ลักษมน เปิดเผยว่า ตลอดระยะเวลากว่า 1 ปี ดีเอสไอ ไม่เคยแจ้งข้อกล่าวหา หรือไม่เคยมีหมายเรียกไปให้การ หรือชี้แจงข้อเท็จจริง แต่เจ้าหน้าที่ ดีเอสไอ กลับมานำตัวไปขึ้นศาลคดีนี้ ที่ศาลแรงงานกลาง เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2565 และได้สอบสวนตั้งแต่เวลา 20.00 น. ถึง 02.00 น. โดยไม่ยอมให้ประกันตัว และให้เข้าห้องขังที่ ดีเอสไอ 1 คืน หลังจากนั้นเพียง 8 วัน ก็ส่งฟ้องต่อศาลอาญา โดยไม่ให้โอกาสพวกตนได้ยื่นเอกสารเพิ่มเติมประกอบคำให้การ อีกทั้ง ดีเอสไอ ก็มิได้สอบสวนพยานแวดล้อม คือ ผู้ที่พักอาศัยภายในซอยที่เกิดเหตุ ว่ามีการกักขังหน่วงเหนี่ยวแรงงานชาวเมียนมาร์จริงหรือไม่ จึงทำให้พวกตนได้รับความเสียหายต่อชื่อเสียงเป็นอย่างมาก จึงได้ตัดสินใจมาแจ้งความดำเนินคดีกับแรงงานชาวเมียนมาร์จำนวน 14 คน และผู้ที่แอบอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่สถานทูตเมียนมาร์ อีกด้วย