พลตำรวจโทจารุวัฒน์ ไวศยะ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะรองประธานคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง กรณีสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไม่แย้งคำสั่งไม่ฟ้องเด็ดขาดของอัยการ คดีนายวรยุทธ อยู่วิทยา ขับรถชนตำรวจเสียชีวิต เมื่อปี 2555 เปิดเผยว่า คณะกรรมการฯ ได้สรุปผลการตรวจสอบเสนอผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เนื่องจาก พบพยานหลักฐานใหม่ ที่นำไปสู่การดำเนินคดีนายวรยุทธ ใน 3 ข้อหา คือ ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้ถึงแก่ความตาย, ขับรถในทางก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคล ไม่หยุดรถและให้ความช่วยเหลือฯ และ เสพยาเสพติดให้โทษประเภท 2 (โคคาอีน) โดยผิดกฎหมาย พร้อมเสนอผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ให้พิจารณาข้อบกพร่องข้าราชการตำรวจ รวม 21 นาย แบ่งเป็นตำรวจรายเดิมที่เคยถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดแล้ว 11 นาย และตำรวจที่เพิ่งพบความผิดรายใหม่ 10 นาย โดยในจำนวนนี้มีอดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาล และตำรวจที่เกษียณอายุราชการไปแล้ว ส่วนจะสามารถดำเนินคดีทางอาญาย้อนหลังได้หรือไม่ ต้องพิจารณาอีกครั้ง แต่โทษทางวินัยนั้นไม่สามารถดำเนินการย้อนหลังได้
ส่วนเรื่องผลการสอบสวนพยานใหม่ตามคำสั่งของอัยการและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขณะนี้ สน.ทองหล่อ สอบพยานความเร็ว 4 ปาก และพยานเกี่ยวกับผลการตรสจสารเสพติด 4 ปาก ครบทั้งหมดแล้ว ไม่เกินในสัปดาห์หน้าจะสามารถส่งสำนวนให้อัยการรับไปพิจารณาได้ ส่วนผลความเร็วที่เป็นที่สนใจของสังคม ในส่วนของตำรวจยังยืนยันใช้ผลการคำนวณของกองพิสูจน์หลักฐานเป็นหลัก ส่วนผลการสอบเรื่องการคำนวณความเร็ว พบว่ามีความแตกต่างกัน ซึ่งมีทั้ง 125 กิโลเมตรต่อชั่วโมง, 144 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และ 177 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่ผลคำนวณทั้งหมดเกินกว่า 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ตามที่กฎหมายกำหนดแน่นอน
ทั้งนี้ ยังระบุด้วยว่าเรื่องการทำสำนวนในคดีใหม่นี้ ทางคณะกรรมการฯ ไม่ได้นำพยานเดิมที่อยู่ในสำนวนคดีเก่ามาพิจารณาประกอบเป็นคดีใหม่ เพราะคดีสิ้นสุดไปแล้ว ส่วนการทำสำนวนคดีใหม่ จะยึดหลักผลการสอบพยานและเทคโนโลยีแทน
ด้าน พลตำรวจตรี วรวัฒน์ อมรวิวัฒน์ ผู้บังคับการกองการต่างประเทศ เปิดเผยว่า หลังจากนี้ จะต้องรอให้อัยการมีความเห็นสั่งฟ้อง ถึงจะเข้าสู่ขั้นตอนการดำเนินการของกองการต่างประเทศ ในการประสานไปยังองค์การตำรวจสากล หรือ อินเตอร์โพล เพื่อขอให้พิจารณาออกหมายแดง เพื่อสืบหาแหล่งที่อยู่ของผู้ต้องหาที่หลบหนีในต่างประเทศ ก่อนดำเนินการตามช่องทางส่งผู้ร้ายข้ามแดน