นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยระหว่างแถลงเกี่ยวกับแนวทางการค้นหาเชิงรุกในชุมชนว่า จะใช้ทีม Comprehensive covid-19 Response Team (CCR Team) ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กับ กทม. จะนำทีมจำนวน 188 ทีม เข้าไปดูแลตรวจคัดกรองเชิงรุก โดยจะเป็นการใช้ชุดตรวจ Antigen Test Kit หรือ ATK เพื่อตรวจหาเชื้อโควิด-19 มาใช้ในวงกว้างมากขึ้น แต่ระยะแรกจะใช้ในระบบพยาบาลก่อน แต่ในอนาคตอันใกล้ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) อาจเสนอให้ปลดล็อค ให้จำหน่ายในร้านขายยาทั่วไป โดยคาดว่าในสัปดาห์หน้าจะวางขายในร้านขายยาได้ภายใต้คำแนะนำของเภสัชกรรมและบุคลากรการแพทย์ ซึ่งประชาชนสามารถตรวจเองได้เลย และหากพบเชื้อให้รอคำแนะนำจากสถานพยาบาลใกล้บ้าน
นพ.เกียรติภูมิ ยังกล่าวว่า ขณะนี้ประสบปัญหาเรื่องของจำนวนเตียง ทาง สธ. จึงมีแนวคิดและเปลี่ยนแนวคิดสำหรับผู้ป่วยเมื่อตรวจพบเชื้อ หากมีอาการน้อยหรือไม่มีอาการ ให้ใช้การรักษาแบบโดยระบบแยกกักที่บ้าน (Home Isulation) หรือ แยกกักในชุมชน (Community Isulation) อย่างไรก็ตามการใช้วิธีดังกล่าวจะมีระบบของทางสาธารณสุขเข้าไปดูแลและเชื่อมต่อหากผู้ป่วยเข้าสู่ระบบดังกล่าว การรักษาจะไม่ได้หลุดออกจากระบบของทางสาธารณะ ซึ่งจะมีการติดตามวันละ 2 เวลา โดยจะมีเครื่องวัดไข้, เครื่องวัดออกซิเจน และยาให้ด้วย เพื่อทำให้การแยกกักเช่นนี้มีประสิทธิภาพ
นพ.เกียรติภูมิ ยังระบุอีกว่า ไวรัสมีการกลายพันธุ์มากขึ้น และสายพันธุ์เดลต้าเข้ามามากกว่า 50% แล้วซึ่งมติของคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ เห็นว่า ให้ฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 หรือ บูสเตอร์โดสเพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้กับบุคลากรการแพทย์ที่มีความเสี่ยง ในการป้องกันไวรัสกลายพันธุ์
ทั้งนี้ ยังมีการปรับวิธีการฉีดวัคซีนใหม่ให้ต่างชนิดกัน เช่น หากเข็มแรกฉีดวัคซีนที่เป็นเชื้อตาย ในเข็มต่อไปให้วัคซีนในกลุ่มของmRNA-ไวรัลเว็คเตอร์ เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันมากขึ้น
ส่วนการเสียชีวิตสถิติล่าสุด นพ.เกียรติภูมิ ระบุว่า ส่วนมาก 70-80% เป็นผู้สูงอายุที่มีอายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป มีโรคเรื้อรัง โรคอ้วน รวมถึงคนตั้งครรภ์อยู่ด้วยพบว่าปัจจัยเสี่ยงทำให้เสียชีวิต ดังนั้น จึงมีนโยบาย ว่า แนวโน้มในการฉีดวัคซีนจะฉีดในกลุ่มนี้เป็นหลัก 80% เพื่อไม่ให้อาการหนักและเสียชีวิตหากพบว่าติดเชื้อโควิด-19
