ในวันที่ 2 มิ.ย. 64 เวลา 10:00 น. ณ ห้องรับรองพิเศษ อาคาร 1 ชั้น 1 ตึกสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายศรีสุวรรณ จรรยา อุปนายกและเลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ปฏิบัติหน้าที่นายกสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย และ ดร.ชนิญญา ชัยสุวรรณ ตัวแทนภาคประชาชนและเครือข่ายทางการแพทย์แผนไทย ได้เข้าพบกับผู้แทน นายอนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เนื่องด้วยการประกาศบัญชียาหลักแห่งชาติด้านสมุนไพร ซึ่งได้ระบุให้ ยาสารสกัดจากฟ้าทะลายโจร และ ยาจากผงฟ้าทะลายโจร ผ่านการคัดเลือกอยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติด้านสมุนไพร ซึ่งเป็นการควบคุมให้ใช้ได้โดยผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมเท่านั้น
จากประกาศฯดังกล่าว ส่งผลให้นับตั้งแต่วันที่ 27 พฤษภาคม 2564 ผลทางกฎหมายกำหนดให้ ประชาชนไม่สามารถซื้อ ยาสารสกัดหรือผงจากฟ้าทะลายโจร เพื่อใช้รักษาด้วยตนเองได้ โดยกำหนดให้ต้องซื้อผ่านผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมภายใต้แพทยสภา หรือการแพทย์แผนปัจจุบันเท่านั้น ทำให้หากประชาชนซื้อใช้เองก็จะละเมิดกฎหมายดังกล่าว หรือแม้กระทั่งเวชกรรมแพทย์แผนไทยก็ไม่สามารถจัดหาเพื่อช่วยเหลือให้กับประชาชนทั่วไปได้เหมือนในอดีต อันเป็นการปิดกั้นเสรีภาพทางด้านสมุนไพรของคนไทย
นับเป็นอีกครั้งที่รัฐบาลกำลังดำเนินการในทิศทางตรงกันข้ามกับสถานการณ์ปัจจุบัน แม้ประชาชนกำลังมีความต้องการในสิทธิและเสรีภาพในระบบการรักษาสุขภาพและการสาธารณสุขของประเทศอย่างมากที่สุดนับเป็นประวัติการณ์ แต่รัฐบาลกลับดำเนินการซึ่งริดรอนสิทธิและเสรีภาพของประชาชน อีกทั้งยังไม่ให้ความสำคัญกับวิชาชีพตามภูมิปัญญาแพทย์แผนไทย แม้จะเป็นรากฐานของคนไทยซึ่งสืบทอดกันมาเป็นระยะเวลาอย่างยาวนานและได้รับการพิสูจน์แล้ว เมื่อปัจจัยและเทคโนโลยีในปัจจุบันมีความพร้อม เช่น การใช้สมุนไพรฟ้าทะลายโจรในการเสริมภูมิ รักษาและป้องกันโรคในการดูแลสุขภาพ ซึ่งแม้วันนี้จะได้รับการพิสูจน์ว่าสามารถให้ประสิทธิภาพในการรักษาที่ดี แต่กลับมีการออกประกาศฯ เพื่อควบคุมการเข้าถึงการรักษาของประชาชนจากภูมิปัญญาแพทย์แผนไทย จากประเด็นนี้ทำให้พวกเราไม่สามารถทนยอมรับได้อีกต่อไป และขอเรียกร้องให้มีการทบทวนและปรับแก้ประกาศฯดังกล่าว ตามที่เราเสนอไปโดยด่วน เพื่อเป็นการปลดล็อคให้กับประชาชนสามารถเข้าถึงการรักษาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลานี้ ช่วงเวลาที่ประเทศกำลังขาดแคลนวัคซีนท่ามกลางการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งมีจำนวนผู้ติดเชื้อทะยานพุ่งสูงขึ้นทุกวันมาเป็นระยะเวลากว่าสองเดือนแล้ว
ในตอนท้าย ดร.ชนิญญา ชัยสุวรรณ กล่าวว่า “อยากขอให้รัฐบาล และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการบริหารประเทศ ตลอดจนพัฒนาประเทศไทยนับจากนี้ ให้มุ่งความสนใจมาที่รากเหง้าของตนเอง และต่อยอดการพัฒนาระบบเศรษฐกิจจากรากฐานของประเทศโดยมีประชาชนเป็นที่ตั้ง ตลอดจนเน้นการพัฒนาจากรากฐานภูมิปัญญาของไทยอย่างแท้จริง เพราะสินค้าหรือบริการใด ๆที่ไม่มีคุณค่าหรืออัตลักษณ์ตัวตนที่ชัดเจนนั้น จะยากต่อการแข่งขันในยุคที่โลกเชื่อมถึงกันหมดอย่างรวดเร็วด้วยเทคโนโลยีดิจิตอลซึ่งทวีคูณความเร็วยิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา รัฐบาลไทย ควรดูแลและส่งเสริมอุตสาหกรรมสมุนไพรในประเทศ ซึ่งมีอัตลักษณ์ที่ชัดเจนและเป็นรากฐานที่แท้จริง ซึ่งสอดแทรกในวิถีชีวิตของคนไทยทุกคนมาอย่างช้านาน โดยในปัจจุบันมีมูลค่าถึงเกือบสี่หมื่นล้านบาท อีกทั้งยังมีศักยภาพและเป็นส่วนสำคัญของเป้าหมายการผลักดันไทยสู่ศูนย์สุขภาพนานาชาติ หรือ Medical Hub มูลค่า ห้าแสนล้านบาท นอกจากนี้ยังมีการคาดการณ์ตลาดความต้องการสมุนไพรในตลาดโลกที่จะเติบโตพุ่งสูงขึ้นอีก เกือบ 10 เท่า อันคิดเป็นมูลค่าสูงถึง 16 ล้านล้านบาท ในอีก 10 ปีข้างหน้า โดยไทยนับเป็นหนึ่งในไม่กี่ชาติที่ยังคงรักษาภูมิปัญญาตำรับสมุนไพรประจำชาติอันเป็นอัตลักษณ์ที่พร้อมนำไปแข่งขันได้ในเวทีโลก เพราะหากเรามัวแต่มุ่งตามชาติอื่น เราทำได้ดีที่สุดก็คงทำได้แค่เหมือน แต่เราจะไม่มีวันเป็นของจริงได้เลย”