พลตำรวจตรีปิยะ ต๊ะวิชัย รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ยืนยันว่า ตำรวจมีความพร้อมในการดูแลความสงบเรียบร้อย การนัดชุมนุมของตามสถานที่ต่าง ๆ ในเขตกรุงเทพมหานคร โดยเฉพาะ ศาลอาญา เรือนจำ และสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส ซึ่งผู้บัญชาการตำรวจนครบาล สั่งการให้ตำรวจพื้นที่ จัดกำลังกองร้อยควบคุมฝูงชน ดูแลความเรียบร้อยและไม่ให้กระทบประชาชนทั่วไปแล้ว พร้อมเตือนว่า ขณะนี้ ในเขตกรุงเทพมหานคร ยังมีประกาศห้ามชุมนุม ตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และ พ.ร.บ.ควบคุมโรคฯ ดังนั้น การชุมนุมทุกพื้นที่ จะมีความผิดตามกฎหมาย
รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ยังกล่าวถึงการดำเนินคดีกับผู้ชุมนุมที่ศาลอาญา โดยสามารถแบ่งการดำเนินคดีเป็น 6 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มของ นายปิยรัฐ จงเทพ หรือ โต้โต้ กับพวก 18 คน ซึ่งมีความผิดในข้อหา สมคบตั้งแต่ 5 คน เพื่อเตรียมการกระทำการกระทำผิดกฎหมายอาญา เพื่อจะก่อให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อย ซึ่งตำรวจได้จับกุมตามความผิดซึ่งหน้า จึงไม่จำเป็นต้องใช้หมายจับ กลุ่มที่ 2 กลุ่มผู้ต้องหาที่ถูกจับ และหลบหนีไปจากการควบคุมของเจ้าพนักงาน รวม 24 คน จะมีความผิดเพิ่มเติม ฐานหลบหนีไปจากการควบคุมของเจ้าพนักงาน ซึ่งมีการมาแสดงตัวต่อตำรวจนครบาลพหลโยธินแล้ว และตำรวจได้รับตัว ซึ่งจะมีการพิสูจน์ทราบว่า มีการหลบหนีจริงหรือไม่ หากพบเป็นกลุ่มที่หลบหนีจริง จะออกหมายเรียกให้มารับทราบข้อกล่าวหาในภายหลัง และยังมีผู้ต้องหาบางส่วน ยังไม่มาพบพนักงานสอบสวน ก็จะออกหมายเรียกเช่นกัน กลุ่มที่ 3 กลุ่มผู้ต้องหา ที่ปรากฎภาพกลุ่มผู้ชุมนุมกลุ่มการ์ด ทุบทำลายรถของทางราชการ และร่วมกันชิงตัวผู้ต้องหา ทำร้ายเจ้าพนักงาน และชิงทรัพย์สิน ก็จะมีความผิดฐาน ร่วมกันช่วยเหลือให้ผู้ต้องหาหรือผู้ถูกควบคุม ให้หลุดพ้นไปจากการควบคุมของเจ้าพนักงาน และถ้าปรากฎว่า ผู้ชุมนุมคนหนึ่งคนใด ในกลุ่มนั้น มีการทำลายทรัพย์สิน และทำร้ายเจ้าพนักงาน ก็จะมีความผิดฐาน ต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานเพิ่มเติมด้วย กลุ่มที่ 4 กลุ่มผู้ที่ปรากฎภาพ ทุบทำลายแนวรั้ว ทรัพย์สินทางราชการของศาลอาญา นำสิ่งต่าง ๆ มาเผา รวมถึง พระบรมฉายาลักษณ์ และบุกรุกศาลอาญา จะมีความผิดฐาน บุกรุกสถานที่ราชการในเวลากลางคืน และบางส่วนผิดฐานละเมิดอำนาจศาล และจะพิจารณาว่า จะเข้าข่ายความผิดตามมาตรา 112 ด้วยหรือไม่ กลุ่มที่ 5 กลุ่มผู้ชุมนุมอื่น ๆ ก็จะเข้าข่ายผิด พรก.ฉุกเฉิน และ พรบ.ควบคุมโรคฯ และกลุ่มที่ 6 กลุ่มที่ใช้อาวุธปืน ลูกเหล็ก ยิงใส่รถราชการ ก็น่าเชื่อว่า ถูกยิงมาจากอาวุธปืน ก็จะพิจารณาว่า เข้าข่ายความผิดฐาน พยายามฆ่าเจ้าพนักงานด้วยหรือไม่
ส่วนกรณี ที่นายปิยรัฐ อ้างว่า ทรัพย์สินส่วนหนึ่งสูญหาย ขณะถูกตำรวจเข้าจับกุม รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ระบุว่า จากการสอบถามนายปิยรัฐ ทราบว่า มีการซ่อนทรัพย์สินไว้ใต้เบาะด้านหน้ารถ และมีการพิสูจน์ทราบแล้ว พบทรัพย์สินของนายปิยรัฐ ทั้งหมด จึงได้ยึดไว้เป็นของกลางแล้ว อย่างไรก็ตาม ในวันเกิดเหตุ พบว่ามีการชิงของกลางบางส่วน และชิงหรือปล้นทรัพย์สินส่วนตัวของตำรวจไปด้วย ซึ่งจะต้องมีการตั้งกรรมการตรวจสอบอีกครั้ง โดยในส่วนทรัพย์สินของตำรวจที่หายไป มีทั้งโทรศัพท์มือถือ พระเลี่ยมทอง สร้อยคอ ยังต้องรอให้เจ้าของที่อยู่ระหว่างการพักรักษาตัว เข้าแจ้งความในภายหลัง